ขับรถปลอดภัยในถดูฝน
1./ ตรวจสถาพการใช้งานของยางรถ และดอกยางให้คงอยู่ในสภาพที่สามารถยึดเกาะถนนได้ดีในขณะขับในยามฝนตก รวมทั้งช่วงล่างต้องอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้เสมอ
2./ ตรวจระบบเบรก ให้คงอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญระบบใบปัดน้ำฝนต้องมีสภาพที่ใช้งานได้ดี
3. /ในขณะฝนตก ควรขับรถในระดับความเร็วต่ำ และควรเปิดไฟหน้ารถ เพื่อทัศนวิสัยในการมองเห็นทั้งกลาวันและกลางคืน
4. /หากขับรถบนถนนที่มีน้ำท่วมขังสูง อาจเป็นผลให้เครื่องยนต์ดับได้ เนื่องจากน้ำเข้าเครื่องยนต์และซึมเข้าสู่จานจ่ายหรือหัวเทียนหรือระบบไฟต่าง ๆ จึงควรมีสเปรย์ฉีดไล่ความชื้นไว้ประจำ รถขณะเดินทางทุกครั้ง
5./ ควรมีสลิงลากรถไว้ประจำรถ เพื่อสะดวกในการลากจูงเข้าอู่ซ่อม หากรถเสียเกินกว่าที่จะแก้ไขได้เอง
6. /หากรถเสียบนเส้นทางควรมีกิ่งไม้หรือสิ่งของที่จะให้สัญญาณแก่ผู้ร่วมทางว่าข้างหน้ามีรถเสียหรือประสบอุบัติเหตุอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำได้
7./ หากฝนตกหนักมากจนมองไม่เห็นทาง เพื่อความปลอดภัยควรหยุดรถในที่ปลอดภัย เช่น ปั้มน้ำมัน แล้วรอจนฝนเบาแล้วค่อยเดินทางต่อ
ทั้งหมดนี้เราจะเห็นว่าเขาไม่แนะนำให้ใช้ไฟฉุกเฉินเลยนะครับ
และในการขับรถขณะฝนตกเราควรมีมารยาทในยามขับขี่ให้มากขึ้นและไม่ควรใช้ความเร็วสูงโดยเฉพาะในเวลายามค่ำคืนความสามารถในการขับขี่ยิ่งต่ำลงมากเราควรขับรถโดยความระมัดระวังเพราะมีคนที่คอยเราอยู่ที่บ้างเรานะครับ
จาก http://forum.sanook.com/forum/?topic=2175238
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนในช่วงฝนตก อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เนื่องจากถนนลื่นและทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางไม่ดี แนะให้ลดความเร็ว ทิ้งระยะห่างจากคันหน้าอย่างน้อย 2 เท่า
ไม่ควรเปลี่ยนช่องทางกระทันหัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในช่วงฝนตก หากขับผ่านเส้นทางหุบเขาในช่วงฝนตก ให้ระวังรถเสียหลัก แหกโค้ง ตกเหวได้
นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า แม้จะเข้าสู่ช่วงกลางเดือนตุลาคมแล้ว แต่หลายพื้นที่ยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่น ทำให้ถนนเปียกลื่น ทัศนวิสัยไม่ดี จึงเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อความปลอดภัยในการขับรถขณะฝนตก
ผู้ขับรถควรเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถให้มากกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงที่ฝน เริ่มตกใน 10 นาทีแรก หรือในขณะที่ฝนตกพรำๆไม่หนักมาก เพราะเป็นช่วงที่น้ำฝนชะล้างคราบดิน ฝุ่นละอองที่ติดอยู่กับพื้นถนน คล้ายการละเลงโคลน ผู้ขับรถควรลดความเร็วลง ไม่ขับรถเร็ว เพื่อป้องกันรถลื่นไถล ควรขับรถด้วยระดับความเร็วประมาณ 40 – 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงที่ขับรถลงอุโมงค์หรือขึ้นสะพานในช่วงฝนตก อีกทั้งให้ขับรถเว้นระยะห่างจากคันหน้าอย่างน้อย 2 เท่าของการขับในช่วงปกติ ไม่เปลี่ยนเส้นทางโดยกะทันหัน เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี ทำให้เห็นท้ายรถคันหน้าในระยะกระชั้นชิด อาจหยุดร ไม่ทัน ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ สำหรับการใช้สัญญาณไฟผู้ขับรถควรเปิดไฟส่องสว่างทุกดวง เพื่อให้มองเห็นรถคันอื่นได้ชัดเจนขึ้น และทำให้ผู้อื่นมองเห็นรถเรา อย่าเปิดเฉพาะไฟหรี่และห้ามเปิดไฟสูงโดยเด็ดขาด เพราะแสงจะสะท้อนกับน้ำฝน ทำให้คนขับรถสวนมาตาพร่ามัว รวมทั้งห้ามเปิดไฟกระพริบ เพราะจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นรถจอดเสีย จนต้องเบี่ยงทางหนี ก่อให้เกิดอันตรายได้ หากต้องขับรถเข้าโค้งในช่วงที่ถนนเปียกลื่นให้ลดความเร็วลง ไม่เหยียบเบรกและคลัชท์ในระหว่างเข้าโค้ง เพราะจะทำให้เกิดแรงเหวี่ยง จนทำให้รถหลุดหรือแหกโค้งได้ กรณีทัศนวิสัยแย่มากจนมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้าได้ ผู้ขับรถควรจอดพักในบริเวณที่ปลอดภัย เช่น สถานีบริการน้ำมัน รอจนสถานการณ์ดีขึ้นแล้วค่อยขับรถต่อไปจะปลอดภัยมากกว่า หากน้ำท่วมผิวการจราจร ขอให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง ควรขับในส่วนที่น้ำตื้นที่สุด และระวังถนนชนิดหลังเต่า หากขับรถเฉออกนอกเส้นทาง อาจทำให้รถจมน้ำได้
แต่ถ้าน้ำท่วมสูงและมีกระแสน้ำเชี่ยวกราก อย่าขับรถลุยน้ำโดยเด็ดขาด เพราะรถอาจถูกพัดลอยไปตามกระแสน้ำได้ สำหรับผู้ที่ต้องขับรถผ่านเส้นทาง ที่เป็นภูเขาสูงชันในขณะที่มีฝนตกหนัก ควรเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถ เนื่องจากอาจจะมีหินร่วง หรือดินไหลปิดเส้นทางก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ หากตรวจสอบพบว่ามีหินหรือดินปิดทับเส้นทาง
ควรหลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นที่ปลอดภัยมากกว่า และในขณะที่ขับรถขึ้นหรือลงเขา ไม่ควรขับรถเร็ว ให้ใช้เกียร์ต่ำ เพราะพื้นถนนที่เปียกลื่น ทำให้รถเสียการทรงตัว แหกโค้ง พุ่งลงหุบเหวได้ สุดท้ายนี้ หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วนสาธารณภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานและให้ความช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป