หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ พระปิดตาอันดับหนึ่ง
[ 18/04/2012 ] - [ 37251 ]
ถึงแม้ว่าพระปิดตาจะมีการสร้างขึ้นมาหลากหลายเกจิอาจารย์ก็ตาม แต่มีจำนวนไม่มากที่ได้รับความนิยมและสามารถขึ้นทำเนียบไปอยู่ในระดับแถวหน้าได้ ซึ่งที่ผ่านมาพระปิดตาของหลวงพ่อแก้ว แห่งวัดเครือวัลย์ ได้สร้างชื่อเสียงจนโด่งดังด้วยประสบการณ์จากผู้บูชา จนกลายมาเป็นพระปิดตาระดับหนี่งที่วงการพระเครื่องต่างยอมรับ โดยเฉพาะวรรณะเข้มแบบแกมน้ำตาลคล้ายกับเนื้อกะลาจะได้รับความนิยมอย่างมาก
พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ เนื้อผงคลุกรัก ที่เป็นมาตรฐานการเล่นหาสะสมมีอยู่ด้วยกัน 3 พิมพ์คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก โดยที่ด้านหลังจะมี 3 แบบคือ หลังแบบเป็นรอยบุ๋มเป็นรูปพระ หลังเรียบ และหลังเบี้ย ส่วนพิมพ์ปั้นและพิมพ์พิเศษอื่น ๆ ก็คงจะมี แต่ไม่ใช่พิมพ์มาตรฐาน
แต่ถ้าหากจะเรียงลำดับความสำคัญของพิมพ์หรือค่านิยมในวงการแล้วก็ต้องเริ่มจาก 1.พิมพ์ใหญ่หลังแบบ 2.พิมพ์ใหญ่หลังเรียบ 3.พิมใหญ่หลังเบี้ย(หลังอูม) 4.พิมพ์กลางหลังแบบ 5.พิมพ์กลางหลังเรียบ 6.พิมพ์กลางหลังเบี้ย 7.พิมพ์เล็กหลังเรียบ 8.พิมพ์เล็กหลังเบี้ย ส่วนชุดพิมพ์ลอยองค์ พอจะแบ่งความสำคัญตามลำดับได้ดังนี้คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก
สำหรับวิธีการทำผงสร้างพระของหลวงพ่อแก้วนั้น ได้เริ่มมาตั้งแต่ท่านสอนหนังสือ พร้อมกับเก็บเอาผงที่ลบจากอักขระเอาไว้ และเอามาผสมเข้ากับผงอักขระคุณพระ ที่เรียกว่า ผงพุทธคุณ หรือผงมหาราช เป็นต้น เมื่อเอาผงดินสอทั้งสองอย่างรวมกันเข้าแล้ว ก็เอาเกสรดอกไม้บ้างใบไม้บ้าง เปลือกไม้และเนื้อไม้บ้างมาบดละเอียดเป็นผง และมาผสมเข้ากับผงอักขระ แล้วค่อยเอาน้ำข้าวมาผสมเข้ากับผงทำให้มีน้ำเหนียว และจึงปั้นเป็นแท่งเป็นก้อนเอาไว้ใหญ่บ้างเล็กบ้าง
พระปิดตาหลวงพ่อแก้วแบบเนื้อผงชุบรัก และแบบคลุกรัก ในส่วนของเนื้อประเภทคลุกรักนั้น ก็ยังมีความแตกต่างในตัวเองอยู่ คือแบ่งออกเป็นวรรณของพระได้ 2 วรรณะคือ วรรณน้ำตาลเข้มคล้ายกับสีกะลามะพร้าว กับ วรรณะดำ ทั้งวรรณะดำและวรรณน้ำตาลเข้มยังมีความแตกต่างในตัวเองอีก เช่นเข้มมาก เข้มน้อย คือบ้างก็เป็นน้าตาลอมแดง น้ำตาลค่อนข้างมาทางเหลืองเรื่อ ๆ หรือดำแกมน้ำตาลไปจนถึงดำเข้ม
แต่ในแวดวงพระเครื่องได้ให้ความนิยมเล่นหาพระที่ออกวรรณะเข้มแบบแกมน้ำตาล หรือทีเรียกว่า “เนื้อกะลา” ซึ่งในที่นี่หมายความเฉพาะวรรณพระคล้ายกับสีกะลาเท่านั้น แต่หมายรวมถึงความแห้งของเนื้อพระที่ได้อายุประมาณ 90-120 ปี ในความแห้งของเนื้อกะลาที่ว่านี้จะต้องแห้งอย่างมีน้ำมีนวล มีมวลสาร หรือที่นิยมเรียกว่า มีความซึ้ง
ทั้งนี้เพราะพระเนื้อผงคลุกรักนั้นจะมีส่วนผสมของเนื้อผงพุทธคุณต่าง ๆ ผงเกสรดอกไม้ต่าง ไม้ไก่กุก ไม้ที่มีนามมงคลต่าง ๆ ว่านมงคลต่าง ๆ แล้วนำมาบดเป็นผงคลุกเข้าด้วยกัน ผสมด้วยน้ำรัก กับน้ำผึ้งเป็นตัวประสาน แล้วจึงนำมากดกับแม่พิมพ์ให้เป็นองค์พระ พอพระแห้งดีแล้ว จึงนำมาจุ่มรักอีกทีหนึ่ง
แต่เรื่องนี้มีผู้รอบรู้ได้กล่าวอ้างว่าการที่นิยมเรียก พระเนื้อผงลงรักว่า” ชุบรัก” กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน หากหมายความตามนั้นคือเข้าใจว่า นำพระไปชุบรักหรือจุ่มลงในภาชนะใส่ รักจริง ๆ แล้วก็เป็นการเข้าใจผิด เพราะหากทำเช่นนั้น เมื่อเอาพระขึ้นจากการจุ่มรัก น้ำรักก็จะหยดย้อยเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด ครั้งเอาพระไปวางผึ่งให้แห้งด้านล่างของพระก็จะติดพื้น ทำความเสียหายให้แก่วัตถุองค์พระในขณะที่ดึงพระขึ้นได้
ส่วนที่พระบางองค์มีร่องรอยรักล่อนหลุดก็เป็นการล่อนหลุดภายหลัง มิใช่การหลุดติดพื้นในตอนจุ่มรัก ดังนั้นที่ถูกต้องแล้วน่าจะเป็นการทารัก หรือเรียกว่าลงรัก โดยจะทาด้านเดียวก่อนแล้วผึ่งไว้ประมาณหนึ่งวัน แล้วก็ทารักอีกด้านหนึ่งเสร็จแล้วก็วางผึ่งไว้ให้แห้งอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีพระปิดตาเนื้อตะกั่ว ที่สร้างด้วยเนื้อตะกั่วธรรมดา นำมารีดเป็นแผ่นแล้วจารอักขระตามพระสูตรต่าง ๆ จากนั้นจึงนำมาหลอมเทเป็นองค์พระ มีด้วยกัน 3 พิมพ์ คือพิมพ์ใหญ่ ขนาดของพระจะเท่ากับพิมพ์กลางของเนื้อคลุกรัก พิมพ์กลางจะมีขนาดเท่ากับพิมพ์เล็กของพิมพ์คลุกรัก และพิมพ์เล็กขนาดจะเล็กกว่าพิมพ์เล็กของเนื้อคลุกรักเล็กน้อย ส่วนด้านหลังของเนื้อตะกั่วจะมีแบบเดียวคือ หลังเรียบ
มาถึงวันนี้การที่หาพระปิดตาหลวงแก้วมาบูชานั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะสนนราคาค่าเช่านั้นกระเถิบขึ้นไปสูงมาก จึงทำให้ส่วนใหญ่จะตกไปอยู่มือของบรรดาเศรษฐี แต่ถึงอย่างนั้นถ้าต้องการพึ่งพุทธคุณจริงศิษย์ของหลวงพ่อแก้วไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อเฮี้ยง หรือหลวงพ่อปาน ก็สร้างพระปิดตาน่าบูชาเช่นกัน
บรรยายภาพ
1. พระปิดตาพิมพ์ใหญ่หลังแบบ
2. 2.พระปิดตาพิมพ์ใหญ่หลังเรียบ
3. พระปิดตาพิมพ์กลางหลังยันต์
4. พระปิดตาพิมพ์เล็กหลังแบบ
5. พระปิดตาเนื้อชินตะกั่ว
6. พระปิดตาเนื้อตะกั่ว |