หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง พระราหูอมจันทร์กะลาตาเดียว
[ 18/04/2012 ] - [ 9828 ]
ถ้าถามถึงเครื่องรางของขลังที่เน้นทางด้านโชคลาภพร้อมกับส่งเสริมดวงชะตา และปัดเป่าเคราะห์ให้พ้นไป ตามตำราบอกว่าต้องยกให้ พระราหูอมจันทร์ ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะมีการสร้างหลายอาจารย์ แต่ค่านิยมที่เล่นหากันอยู่และเชื่อมั่นในอิทธิคุณนั้นต้องเป็นของหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง จ.นครปฐม ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์เชื้อสายลาวที่มีวิชาอาคมแก่กล้ามากองค์หนึ่ง โดยได้สร้างพระราหูที่แกะจากกะลาตาเดียวตามตำรับใบลานอักขระขอมลาว
หลวงพ่อน้อยมีนามเดิมว่า "น้อย นาวารัตน์" เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2435 ตรงกับวันแรม 13 ค่ำ ปีมะโรง มีบิดาชื่อนายมา และมารดาชื่อ นางมี นาวารัตน์ มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน โดยหลวงพ่อน้อยเป็นน้องคนสุดท้อง บิดาเป็นหมอ รักษาโรคแบบแผนโบราณและเก่งกล้าทางอาคม จึงถูกเรียกขานว่า "พ่อหมอ" ดังนั้นเรื่องอยู่ยงคงกระพันขนาดเอามีดคมๆ มาเฉือนหนังตนเองให้ดูได้สบาย ซึ่งไม่มีเข้าแม้แต่น้อย
ในสมัยที่ยังหนุ่มท่านเคยสู้กับนักเลงต่างถิ่นถึงขั้นถูกรุม พ่อหมอคนเดียวยังไล่ฟันพวกนักเลงจนหนีกระเจิง ทำให้ชื่อของพ่อหมอ เป็นที่รู้จักของนักเลงรุ่นนั้น และยังเป็นที่เลื่อมใสของคนลาวโดยทั่วไป พร้อมกันนั้นยามว่างจากงานทำนาและปลูกผัก หลวงพ่อน้อยในสมัยที่เพศฆราวาสก็จะศึกษาอักขระเลขยันต์คาถาอาคมไสยศาสตร์ พร้อมกับวิชาแพทย์แผนโบราณจากบิดาจนเชี่ยวชาญ
ครั้งเมื่อท่านอายุได้ 21 ปี จึงได้บวชเข้าบวรพุทธศาสนาด้วยความศรัทธาอันแน่วแน่ที่มีอยู่เป็นนิสัย โดยมีพระอธิการยิ้ว เจ้าอาววาสวัดแคเป็นพระอุปฌาจารย์ พระอธิการเกิด วัดงิ้วรายเป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระภิกษุมุน วัดกลางคูเวียงเป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า "คนุธโชโค" จำพรรษาอยู่ที่วัดแคอยู่ระยะหนึ่ง จึงได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดศรีษะทอง ในระยะนั้นหลวงพ่อลีเป็น เจ้าอาวาสอยู่และท่านก็ได้ศึกษาวิชาการต่างๆ ที่ได้สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อไตรเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีษะทอง เช่น วิชาการสร้างวัวธนูและราหูอมจันทร์ เป็นต้น
เมื่อหลวงพ่อน้อยได้มีพรรษาที่สูงขึ้นพอดีกับพระอธิการช้อย ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสครองวัดต่อจากหลวงพ่อลีได้ลาสิกขาไป บรรดาญาติโยมอุบาสกอุบาสิกาจึงได้นิมนตร์หลวงพ่อน้อยขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแทน ท่านได้ปฏิบัติตนตามสมควร ให้สมกับเจตนาของญาติโยมและพัฒนาวัดจนมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากและต่อมาท่านยังได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลปกครองวัดในเขตปกครอง
ในขณะเดียวกันหลวงพ่อน้อย ท่านได้สร้างพระเครื่องและเครื่องรางของขลังไว้หลายชนิด แต่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและโด่งดังเห็นจะเป็น พระราหูอมจันทร์ กับ วัวธนู ซึ่งในที่นี่จะขอกล่าวถึงเฉพาะพระราหูอมจันทร์ ที่เวลานี้ติดอันดับเป็นหนึ่งในชุดเบญจเครื่องรางและได้รับการยอมรับมาช้านาน สำหรับพระราหูอมจันทร์ของวัดศรีษะทองนั้นมีลักษณะ และวิธีการสร้างสืบทอดกันมาจากหลวงพ่อไตร แต่ได้มีการสร้างมากที่สุดในสมัยหลวงพ่อน้อย เป็นการสร้างตามตำรับใบลานจารอักขระขอมลาว ที่นำมาจากประเทศลาวโดยตรง
ความเป็นมาของราหูอมจันทร์ตามตำนานทางไสยศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า พระราหูนั้นเป็นยักษ์หน้าตาดุร้าย หน้ากลัว ผิวดำเป็นเงาวาวเหมือนนิล มีหางเป็นนาคราชและมีพญาครุฑเป็นพาหนะรับใช้ประจำ สถิตย์พำนักอยู่ในอากาศแวดล้อมด้วยม่านสีดำ แต่เหตุที่ทำให้พระราหูมีองค์เพียงครึ่งเดียวนั้น เนื่องจากราหูต้องจักรของพระนารายณ์ตัดขาดเพราะว่าพระราหูแอบไปดื่มน้ำอมฤตในขณะที่พระราหูดื่มน้ำอมฤตอยู่นั้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้มาเห็นเข้าก็เลยนำความเข้าไปฟ้องพระนารายณ์
ทำให้พระนารายณ์ทรงกริ้วเป็นเหตุให้ขว้างจักรไปต้องกายพระราหูขาดครึ่ง แต่พระราหูไม่ตายเนื่องจากได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปเลยเป็นอมตะนิรันดร์ พระราหูจึงมีความแค้นเคืองต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่คอยเสนอหน้าไปฟ้องพระนารายณ์ จึงคอยเฝ้าจับพระอาทิตย์และพระจันทร์กินอยู่เสมอมา ถ้าเผลอเมื่อใดเป็นโดนอันหมายถึงสุริยคราสและจันทรคราสนั่นเอง
เหตุของการสร้างพระราหูอมจันทร์นั้นมาจากความต้องการเป็นอมตะของพระราหูที่ไม่รู้จักตายนั่นเอง ดังนั้นการสร้างพระราหูตามสูตรของตำรับลาวโบราณจะใช้เพียง "กะลาตาเดียว" มาแกะเป็นรูปพระราหูอมจันทร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในสมัยของหลวงพ่อน้อยก็เช่นกัน ซึ่งได้สร้างออกมาหลายแบบพิมพ์ไม่ว่าจะเป็น พิมพ์เสมา ที่ได้รับความนิยมสูงและมีให้เห็นกันอยู่ไม่น้อย ลักษณะของพิมพ์นี้ก็มีความแตกต่างกันบ้างในบางส่วน ที่สำคัญพิมพ์เสมานี้ยังการเลี่ยมกรอบล้อมรอบองค์พระราหูอมจันทร์ ที่ทำมาจากวัด โดยด้านหลังจะไม่ปิดทึบเว้าเป็นรูปหัวใจ หรือรูปดอกจิก ส่วนถ้าเป็นพิมพ์สามเหลี่ยม ด้านหลังก็มีรอยจารเต็ม แต่น่าจะสร้างมาจำนวนไม่มากนัก เลยไม่ค่อยมีให้เห็นในสนามพระสักเท่าไหร่
สำหรับหลักการพิจารณาพระราหูอมจันทร์ เนื้อกะลาตาเดียวของหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง ในอันดับแรกจะดูจากฝีมือของช่างแกะ โดยได้แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ ช่างฝีมือภายในวัด กับ ฝีมือของชาวบ้าน พร้อมกันนั้นลายมือในการจาร ก็เป็นส่วนสำคัญ แต่ข้อนี้จะต้องใช้ประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์เท่านั้น จึงจะสามารถพิจารณาตรงนี้ได้ โดยการจารนั้นจะแบ่งลายมือออกเป็นดังนี้คือ ลายมือของหลวงพ่อน้อยเอง กับลายมือของช่างลี และลายมือของลูกศิษย์ตาปิ่น ตลอดจนลายมือของพระอาจารย์สม (ผู้ช่วยสมภาร)
ในขณะเดียวกันความเก่าและความเป็นธรรมชาติของเนื้อกะลาก็เป็นตัวบ่งชี้ได้เหมือนกัน ซึ่งถ้าเป็นกะลาที่ไม่ได้ผ่านการใช้มาเลยต้องมีความแห้งและดูเก่า ส่วนกะลาที่ผ่านการใช้มาเนื้อจะเป็นขุย และยุ้ย หรือ การมีลักษณะพิเศษของพระราหูอมจันทร์ คือโดยส่วนมากของคหบดีในจังหวัดนครปฐมนั้น เมื่อได้พระราหูอมจันทร์จากหลวงพ่อน้อยก็มักจะนำพระราหูนั้นไปเปลี่ยนเป็นกรอบทองคำ, นาค และ เงิน แต่ถ้าพระราหูอมจันทร์อันไหนถูกปิดด้านหลัง หลวงพ่อน้อยท่านจะให้นำแผ่นทอง แผ่นเงิน และ แผ่นนาคมาให้ท่านจารอักขระแล้วนำไปติดด้านหลังในการเลี่ยมแต่ละอัน
ทางด้านสรรพคุณของพระราหูอมจันทร์นั้นหลายคนที่ไม่เข้าใจถ้าเป็นไปตามหลักโหราศาสตร์มักจะเป็นการให้โทษมากกว่า แต่ถ้าเป็นพระราหูอมจันทร์ของหลวงพ่อน้อยนั้นจะให้คุณอย่างเดียว โดยเฉพาะในด้านโชคลาภ มีผู้ที่ได้รับประสบการณ์ต่างเล่าขานต่อกันมา พร้อมกันนั้นก็ยังส่งเสริมดวงชะตาให้เจริญรุ่งเรือง รวมไปถึงคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย สำหรับสนนราคาค่าเช่านั้นย่อมแตกต่างกันไป ถ้าเป็นพระราหูอมจันทร์ที่จารด้วยลายมือของหลวงพ่อน้อยนั้นแน่นอนว่าค่าเช่าย่อมสูงกว่าลายมือของท่านอื่น
สรุปแล้วการหาพระราหูอมจันทร์ ของหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทองมาบูชาคงต้องศึกษาให้ดีและพิจารณาให้ถี่ถ้วน เพราะเวลานี้ของแท้มีน้อยแต่ของปลอมมีล้นตลาด ทางที่ดีควรสอบถามจากคนที่มีความรู้จริงหรือเช่าจากศูนย์พระที่น่าเชื่อถือได้
|