ขุมพลังจูนใหม่ยกชุด
บอดี้เป็นของ E-Class Cabriolet ขณะที่ขุมพลังใช้เครื่องเบนซินทำจากอัลลอยน้ำหนักเบาชนิด V12 36 วาล์ว ของ Mercedes-Benz S 600 รุ่นล่าสุด นำมาพัฒนาด้านวิศวกรรมใหม่ทุกองค์ประกอบ เพื่อให้ลงตัวกับห้องเครื่องยนต์ โดยใช้เพลาข้อเหวี่ยงใหม่ พร้อมกระบอกสูบขนาดใหญ่กว่าเดิม และช่วงชักยาวขึ้น เพิ่มความจุกระบอกสูบจากรุ่นมาตรฐาน 5.5 ลิตร เป็น 6.3 ลิตร
นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาฝาสูบ แคมชาฟท์ และองค์ประกอบภายในอื่น ๆ ใหม่ ท่อร่วมไอเสียใช้ชุดใหม่ เชื่อมต่อกับเทอร์โบขนาดใหญ่กว่าเดิม โดยใช้ชุดไบเทอร์โบของ Brabus พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ชนิดระบายความร้อนด้วยน้ำและอากาศ 4 ชุด พร้อมระบบไอเสียใช้ชุดสมรรถนะสูงทำจากสเตนเลส พร้อมปลายท่อไอเสีย 4 ท่อ เป็นชุดที่พัฒนาใช้กับสปอร์ตรุ่นนี้โดยเฉพาะเช่นเดียวกับอุปกรณ์อื่น ขณะที่ระบบไอดีพัฒนาใหม่ยกชุดพร้อมกล่องอากาศคาร์บอนไฟเบอร์ ปิดท้ายงานพัฒนาขุมพลัง ด้วยการปรับโปรแกรมระบบจัดการเครื่องยนต์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่
ตีนต้น 3.7 วินาที
ระบบหล่อลื่น ใช้รุ่นไฮเทคโนโลยีของบริษัท ARAL ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ก้าวขึ้นเป็นสปอร์ตเปิดประทุน 4 ที่นั่ง ที่มีกำลังมากที่สุดและฝีเท้าเร็วที่สุดในโลก องศาความดุดันอยู่ที่ 788 แรงม้า (800 hp) ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดบึกบึน 1,047 ปอนด์-ฟุต (1,420 นิวตันเมตร) แต่จำกัดไว้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ 1,100 ปอนด์-ฟุต (811 นิวตันเมตร) เรียกได้ที่รอบต่ำเพียง 2,100 รอบ/นาที
มาที่ระบบเกียร์ ใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด รุ่นปรับปรุงใหม่ พร้อมเฟืองท้ายแบบ Limited-Slip Differential ส่งกำลังสู่ล้อหลังด้านสมรรถนะ มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.7 วินาที จาก 0-200 กม./ชม. ในเวลา 9.9 วินาที และจาก 0-300 กม./ชม. ในเวลาเพียง 23.9 วินาที ขณะที่ทำความเร็วได้สูงสุด 370 กม./ชม. ตัวเลขกำลังและสมรรถนะทั้งหมดเท่ากับรุ่นคูเป้ Brabus E V12 Coupe
โฉมเดียวกับคูเป้
ส่วนของโฉมภายนอกไม่แตกต่างจากรุ่นคูเป้ ยกเว้นรูปลักษณ์เปิดประทุน ขณะที่หนีจากรุ่นมาตรฐาน E-Class Cabriolet ไปอยู่คนละคลาสในด้านความทรงพลังและปราดเปรียว โฉมที่เป็นเอกลักษณ์ด้านหน้า ประกอบด้วย กระจังปีกคู่รูปทรงลูกศร ไม่มีโลโก้ดาวของเบนซ์อยู่ตรงกลาง โดยออกแบบคำว่า BRABUS ไว้ที่กรอบป้ายทะเบียนด้านล่างแทน
ตามด้วยกันชนใหม่พร้อมลิปสปอยเลอร์คาร์บอนไฟเบอร์ และไฟวิ่งกลางวัน LED แนวตั้ง ที่ 2 มุมข้างกันชน ด้านข้างมาพร้อมบอดี้และซุ้มล้อใหม่ขนาดใหญ่กว่าเดิม ช่วยให้ระยะล้อหน้ากว้างขึ้น สามารถใช้ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 9.5Jx19 นิ้ว สวมยางสมรรถนะสูงขนาด 265/30 ZR19 เลือกได้จาก 3 ค่าย คือ Continental, Pirelli และ Yokohama สเกิร์ตรวมทั้งช่องระบายอากาศคาร์บอนไฟเบอร์ขนาดใหญ่หลังล้อหน้า พร้อมโลโก้ BRABUS เป็นเอกลักษณ์ส่วนหนึ่งของด้านข้าง
ส่วนด้านท้าย มาในบุคลิกเฉพาะตัวจากกันชนใหม่ พร้อมชุดกระจายมวลอากาศพร้อมไฟสะท้อนแสง และปลายท่อไอเสียคู่ 4 ท่อ บอดี้และซุ้มล้อใหม่ขนาดใหญ่กว่าเดิม ช่วยให้บอดี้กว้างกว่ารุ่นมาตรฐาน 60 มม. สามารถใช้ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 10Jx19 นิ้ว สวมยางสมรรถนะสูงขนาด 295/30ZR19
สปอยเลอร์คาร์บอนไฟเบอร์บนฝากระโปรงหลัง เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์เฉพาะตัวของซูเปอร์คาร์รุ่นนี้
สำหรับคาร์บอนไฟเบอร์ที่ใช้ผลิตอุปกรณ์ด้านแอโร่ไดนามิกทั้งหมด ค่ายเยอรมนีระบุว่าทำจากวัสดุคุณภาพเดียวกับรถแข่ง Formula 1 ในด้านความทนทานและน้ำหนักเบา
หลังคาจากรุ่นมาตรฐาน
หลังคาซอฟต์ท็อปใช้ชุดเดียวกับรุ่นมาตรฐาน E-Class Cabriolet ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติรวดเร็วเพียง 20 วินาที และสามารถทำงานดีดตัวขึ้นคลุมห้องโดยสารหรือเก็บตัวลงห้องเก็บได้ขณะวิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม. และห้องเก็บหลังคาแยกต่างหากจากห้องเก็บสัมภาระ แต่สามารถใช้พื้นที่เพิ่มความจุห้องเก็บสัมภาระจาก 90 ลิตร เป็น 390 ลิตรได้ ขณะใช้หลังคาคลุมห้องโดยสาร
ภายในเด่นด้วยสีทูโทน
ห้องโดยสาร 4 ที่นั่ง มีดีไซน์และบรรยากาศเป็นเอกลักษณ์ จากการตกแต่งด้วยชุดหนังสีทูโทน คือแดงหรือส้ม ตัดด้วยชุดสีดำตะเข็บแดง สะท้อนคุณภาพสไตล์สปอร์ตหรูสูงขึ้นไปอีกระดับ พวงมาลัยใช้รุ่นสปอร์ตของ Brabus ขณะที่เกจใช้ชุดใหม่เช่นกัน โดยเกจความเร็วระบุตัวเลขสูงสุดไว้ที่ 400-km/h
นอกจากนั้นยังมีอุปกรณ์ใหม่อีกส่วนหนึ่ง คือ คันเกียร์ แป้นบังคับอะลูมิเนียม พรมพื้น ไฟส่องสว่างฐานประตู และการดีไซน์แทรกคาร์บอนไฟเบอร์เสริมที่ก้านพวงมาลัย คอนโซลกลาง คอนโซลหน้า และผนังประตู
เบรกสมรรถนะสูง
ด้านระบบกันสะเทือนได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมทั้งส่วนหน้าและหลัง เพื่อให้สอดรับกับกำลังที่เพิ่มขึ้น โดยใช้อุปกรณ์ใหม่หลายรายการ รวมทั้งชุดคอยล์โอเวอร์ของ Brabus ปรับระดับต่ำได้ 35 มม. ค่ายเยอรมนีระบุว่า กันสะเทือนชุดนี้มีโหมดปรับคุณสมบัติของสปริงทั้งส่วนหน้าและหลังได้ 10 ระดับ ส่งผลดีต่อการทรงตัวและความปราดเปรียว นอกจากนั้นยังมีเหล็กกันโคลงคุณภาพเดียวกับรถแข่ง ทำหน้าที่ควบคุมการโคลงตัวของบอดี้ ช่วยให้การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงดำเนินไปอย่างมั่นคง
ส่วนระบบเบรก ใช้ชุดสมรรถนะสูงของ Brabus ดิสก์โลหะชนิดมีช่องระบายความร้อน ขนาดดิสก์หน้า 380x37 มม. คาลิเปอร์อะลูมิเนียมยึดคงที่ขนาด 12 ลูกสูบ และดิสก์หลังขนาด 360x28 มม. คาลิเปอร์อะลูมิเนียมยึดคงที่ขนาด 6 ลูกสูบ ชุดเบรกทำหน้าที่ให้ความปลอดภัย ร่วมกับระบบช่วยเบรก (Brake Assist) ยกชุดมาจากรุ่นมาตรฐาน E-Class สำหรับกันสะเทือน เบรก และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ใช้ชุดเดียวกับรุ่นคูเป้
ค่าตัวเท่ารุ่นคูเป้
สำหรับด้านตลาดสปอร์ตเปิดประทุนรุ่นนี้ ค่ายเยอรมนีใช้แผนที่แตกต่างจากรุ่นคูเป้เล็กน้อย โดยรุ่นคูเป้ผลิตจำหน่ายจำนวนจำกัด ขณะที่รุ่นนี้มีแผนผลิตจำนวนจำกัดเช่นกัน แต่จะผลิตตามออเดอร์เท่านั้น ส่วนราคาสำหรับส่งออกจากเยอรมนี ไม่รวมภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เริ่มต้นเท่ากับรุ่นคูเป้ที่ 478,000 ยูโร (ประมาณ 20.9 ล้านบาท)
โดยสรุปแล้ว ซูเปอร์คาร์รุ่นนี้แทบไม่มีอะไรแตกกต่างจากรุ่นคูเป้ แม้กระทั่งสมรรถนะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว รุ่นเปิดประทุนจะด้อยกว่าคูเป้ในด้านฝีเท้า และอีกอย่างคือราคา ซึ่งเวอร์ชั่นเปิดประทุนส่วนใหญ่จะแพงกว่าคูเป้ ดังนั้นคุณสมบัติที่ E V12 Cabriolet แตกต่างอย่างชัดเชนจาก E V12 Coupe จึงมีเพียงอย่างเดียว คือ หลังคาสามารถเปิดได้
ข้อมูลสังเขป New Brabus E V12 Cabriolet
ประเภท เปิดประทุน 2 ประตู 4 ที่นั่ง
เลย์เอาต์ วางเครื่องหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง
เครื่องยนต์ V12 ไบเทอร์โบ 6.3 ลิตร 36 วาล์ว
กำลังสูงสุด 788 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 1,100 ปอนด์-ฟุต ที่ 2,100 รอบ/นาที
เกียร์ อัตโนมัติ 5 สปีด
0-100 กม./ชม. 3.7 วินาที
ความเร็วสูงสุด 370 กม./ชม.
ล้อหน้า/หลัง อัลลอย 19 นิ้ว
ยางหน้า/หลัง 265/35 R19-295/30R19
เปิดรับออเดอร์ (จากทั่วโลก) กรกฎาคม 2011
ราคาเริ่มต้น 478,000 ยูโร (20.9 ล้านบาท)